TGAT คืออะไร
Reading Time: 4 minutes

TGAT คืออะไร TGAT/TPAT สอบอะไรบ้าง

เมนู

การสอบ TGAT คืออะไร ?

TGAT ย่อมาจาก Thai General Aptitude Test หรือ ความถนัดทั่วไปเป็นการสอบวัดความรู้ ความสามารถ และทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย

ทำไมต้องสอบ TGAT ?

  • คะแนน TGAT ใช้ยื่นสมัครเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยผ่านระบบ TCAS ทุกๆ รอบ
  • มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ใช้คะแนน TGAT ในการพิจารณาคัดเลือก

ภาพรวมข้อสอบ TGAT

ข้อสอบ TGAT ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ

1. การทดสอบทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ

2. การคิดอย่างมีเหตุผล

3.ความสามารถในการทำงานในอนาคต

แต่ละส่วนมีคะแนน 100 คะแนน รวมทั้งหมด 300 คะแนน

สอบ TGAT 1 ภาษาอังกฤษ

TGAT 1 คือ ส่วนหนึ่งของการสอบ TGAT ที่วัดทักษะภาษาอังกฤษ เน้นการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ต่างจาก GAT ภาษาอังกฤษแบบเดิม

ภาพรวมข้อสอบ TGAT 1

  • มี 60 ข้อ
  • ใช้เวลาทำข้อสอบ 60 นาที
  • ข้อสอบเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก
  • ทดสอบทักษะภาษาอังกฤษ 2 ทักษะ ดังนี้
    • ทักษะการพูด :
      • ตอบคำถาม 10 ข้อ
      • เติมบทสนทนาสั้นๆ 10 ข้อ
      • เติมบทสนทนายาวๆ 10 ข้อ
    • ทักษะการอ่าน :
      • เติมข้อความให้สมบูรณ์ 15 ข้อ
      • อ่านจับใจความ 15 ข้อ

ความแตกต่าง ข้อสอบ TGAT 1 กับ A-Level ภาษาอังกฤษ

ข้อสอบ

TGAT 1

วัดความถนัด / การสื่อสารภาษาอังกฤษ

A-Level

ภาษาอังกฤษ

จำนวนข้อ60 ข้อ80 ข้อ
เวลาในการทำข้อสอบ60 นาที90 นาที
คะแนนเต็ม100 คะแนน100 คะแนน
โครงสร้างข้อสอบ

– Speaking Skill 60 ข้อ

( Question-Response , Short conversions , Long conversions ทั้งหมด คือ ข้อสอบแบบเติมบทสนทนา )

– Reading Skill 30 ข้อ

( Text completion คือ ข้อสอบ Cloze test ที่วัดทั้งคำศัพท์และแกรมม่า , Reading Comprehension ข้อสอบการอ่านทั่วไป )

– Listening and Speaking Skills 20 ข้อ

( ข้อสอบแบบเติมบทสนทนา )

– Reading Skill 40 ข้อ

( ข้อสอบการอ่าน )

– Writing Skill 20 ข้อ

( Text Completion คือ ข้อสอบ Cloze Test ที่วัดทั้งคำศัพท์ และ Grammar , Paragraph organization คือ ข้อสอบเรียงประโยค)

สอบ TGAT 2 การทดสอบทักษะในการคิดอย่างมีเหตุผลและตรรกะ

TGAT 2 คือ ส่วนหนึ่งของการสอบ TGAT ที่วัดทักษะการคิดวิเคราะห์และตรรกะ เน้นการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้เหตุผล และคิดอย่างมีวิจารณญาณ

ภาพรวมข้อสอบ TGAT 2

  • มี 60 ข้อ
  • ใช้เวลาทำข้อสอบ 60 นาที
  • ข้อสอบเป็นแบบปรนัย 5 ตัวเลือก
  • คะแนนเต็ม 100 คะแนน
  • ทดสอบทักษะ 4 ด้าน ดังนี้
    • ความสามารถทางภาษา : 20 ข้อ
      • วัดทักษะการสื่อความหมาย การใช้ภาษา การอ่าน และการเข้าใจภาษา
    • ความสามารถทางตัวเลข : 20 ข้อ
      • วัดทักษะการคิดเลข การวิเคราะห์โจทย์ปัญหา การเปรียบเทียบเชิงปริมาณ และความเพียงพอของข้อมูล
    • ความสามารถทางมิติสัมพันธ์ : 20 ข้อ
      • วัดทักษะการจินตนาการ การคิดวิเคราะห์ภาพ และการแก้ปัญหา
    • ความสามารถทางเหตุผล : 20 ข้อ
      • วัดทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล การคิดอย่างมีตรรกะ การจับใจความ และการสรุป

สอบ TGAT 3 สมรรถนะการทำงานในอนาคต

TGAT 3 คือ เป็นการวัดทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานและใช้ชีวิต ข้อสอบเน้นการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา สื่อสารและทำงานร่วมกับผู้อื่น

ภาพรวมข้อสอบ TGAT 3

  • มี 40 ข้อ
  • ใช้เวลาทำข้อสอบ 60 นาที
  • ข้อสอบเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก แต่สามารถเลือกตอบได้มากกว่า 1 ตัวเลือก
  • คะแนนเต็ม 100 คะแนน
  • ทดสอบ 4 ทักษะ ดังนี้
    • การสร้างคุณค่าและนวัตกรรม : 15 ข้อ
      • วัดทักษะการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา คิดริเริ่ม สร้างสรรค์
    • การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน : 15 ข้อ
      • วัดทักษะการระบุปัญหา หาทางออก วิเคราะห์ผลลัพธ์
    • การบริหารจัดการอารมณ์ : 15 ข้อ
      • วัดทักษะการเข้าใจตัวเอง ควบคุมอารมณ์ เข้าใจผู้อื่น
    • การเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมของสังคม : 15 ข้อ
      • วัดทักษะการรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และชุมชน

จำนวนข้อสอบ TGAT และเวลาทำข้อสอบ

TGAT มีทั้งหมด 200 ข้อ น้องมีเวลาทำข้อสอบทั้งหมด 3 ชั่วโมง ซึ่งคิดเป็นเวลาเฉลี่ย 54 วินาทีต่อข้อ

การใช้คะแนน TGAT และคะแนนเฉลี่ย

  • คะแนนเต็ม 300 คะแนน
  • คะแนนเฉลี่ยส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 40-50 คะแนน (คิดเป็น 35% ของผู้สอบทั้งหมด)

การแบ่งคะแนน TGAT

  • TGAT 1 : ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ คะแนนเฉลี่ยส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 20-30 คะแนน (คิดเป็น 33% ของผู้สอบ)
  • TGAT 2 : ทักษะการคิดอย่างมีเหตุผล คะแนนเฉลี่ยส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 30-40 คะแนน (คิดเป็น 26% ของผู้สอบ)
  • TGAT 3 : สมรรถนะการทำงานในอนาคต คะแนนเฉลี่ยส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 60-70 คะแนน (คิดเป็น 36% ของผู้สอบ)

TPAT

  • คะแนนเต็ม 100 คะแนน

TPAT 2

  • ศิลปกรรมศาสตร์: 40-50 คะแนน (49% ของผู้สอบ)
  • ทัศนศิลป์ : 40-50 คะแนน (39% ของผู้สอบ)
  • ดนตรี : 30-40 คะแนน (41% ของผู้สอบ)
  • นาฏศิลป์ : 60-70 คะแนน (39% ของผู้สอบ)

TPAT 3

  • วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์: 40-50 คะแนน (32% ของผู้สอบ)

TPAT 4

  • สถาปัตยกรรมศาสตร์: 60-70 คะแนน (32% ของผู้สอบ)

TPAT 5

  • ครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์: 70-80 คะแนน (42% ของผู้สอบ)

คะแนนสอบ TGAT ใช้ยื่นอะไร

คะแนน TGAT สามารถใช้ยื่นสมัครเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยผ่านระบบ TCAS ได้ 3 รอบ ดังนี้

  1. รอบแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) : คะแนน TGAT จะเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาร่วมกับผลงานอื่นๆ ของผู้สมัคร
  2. รอบโควตา : คะแนน TGAT จะใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้มีสิทธิ์เข้าสอบ
  3. รอบ Admission : คะแนน TGAT จะใช้เป็นคะแนนในการคัดเลือกผู้เข้าศึกษาต่อ

TGAT ใช้ยื่นคณะอะไรได้บ้าง?

TGAT เหมาะกับคณะที่ไม่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทาง เช่น แพทย์ หรือวิศวะ แต่จะเน้นทักษะทั่วไป เช่น การคิดวิเคราะห์ การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม เป็นต้น

✅ ตัวอย่างคณะที่ใช้ TGAT:

  • คณะนิเทศศาสตร์
  • คณะรัฐศาสตร์
  • คณะบริหารธุรกิจ / การบัญชี
  • คณะเศรษฐศาสตร์ (บางแห่ง)
  • คณะศิลปศาสตร์ / อักษรศาสตร์
  • คณะครุศาสตร์ / ศึกษาศาสตร์
  • คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน
  • คณะนิติศาสตร์

หมายเหตุ: บางคณะอาจใช้ TGAT ร่วมกับ A-Level หรือ TPAT ด้วยนะ อย่าลืมตรวจสอบเกณฑ์แต่ละรอบก่อนสมัคร

มหาวิทยาลัยยอดฮิตที่ใช้คะแนน TGAT

🏛 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

  • คณะนิเทศศาสตร์ → ใช้ TGAT 1 และ 2
  • คณะอักษรศาสตร์ → ใช้ TGAT 1
  • คณะเศรษฐศาสตร์ (อินเตอร์) → ใช้ TGAT + A-Level

🏛 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

  • คณะรัฐศาสตร์ → ใช้ TGAT 2
  • คณะบัญชี / บริหาร → ใช้ TGAT 1 และ 2
  • คณะวารสารฯ → ใช้ครบทั้ง TGAT 1, 2, 3

🏛 มหาวิทยาลัยศิลปากร

  • คณะมนุษยศาสตร์ → ใช้ TGAT 1 และ 2
  • คณะศึกษาศาสตร์ → ใช้ TGAT + A-Level

🏛 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

  • คณะบริหารธุรกิจ → ใช้ TGAT ครบทั้ง 3 พาร์ต
  • คณะนิติศาสตร์ → ใช้ TGAT 2 เป็นหลัก

ข้อสอบ TPAT คืออะไร

TPAT ย่อมาจาก “ทดสอบความถนัดทางวิชาชีพ” เป็นการทดสอบที่ใช้ในการวัด ความสามารถเชิงทักษะ ที่จำเป็นสำหรับการศึกษาต่อและประกอบอาชีพใน สายวิชาชีพเฉพาะ

TPAT ต่างจาก TGAT อย่างไร ?

  • TGAT ทดสอบทักษะทั่วไปที่จำเป็นสำหรับการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย เน้นทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา
  • TPAT ทดสอบทักษะเฉพาะที่จำเป็นสำหรับการศึกษาต่อและประกอบอาชีพในสายวิชาชีพ เน้นทักษะเชิงปฏิบัติ และความรู้เฉพาะทาง

เปรียบเทียบ TGAT TPAT A-Level คืออะไร

ระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัย TGAT TPAT A-Level เป็นระบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนของการสอบ เน้นการวัดความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ

ระบบรายละเอียด
TGATวัดทักษะทั่วไปที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย เน้นทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การสื่อสาร และการทำงานเป็นทีม
TPATวัดทักษะเฉพาะที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อและประกอบอาชีพในสายวิชาชีพ เน้นทักษะเชิงปฏิบัติ ความรู้เฉพาะทางและความคิดสร้างสรรค์
A-Levelวัดความรู้และทักษะเชิงวิชาการ เน้นการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริงและความคิดวิเคราะห์เชิงวิชาการ
private

สมัครสอบ TGAT

1. เข้าสู่ระบบ

  • ไปที่เว็บไซต์ สมัครสอบ tgat
  • เข้าสู่ระบบด้วยรหัสประจำตัวประชาชน เลขประจำตัวนักเรียน หรือเลขพาสปอร์ต
  • ไปที่หน้า “ข้อมูลการสมัครสอบ”
  • เลือก “ดูรายละเอียดและสมัครสอบ”

2. เลือกวิชาและสนามสอบ

  • เลือกวิชาที่ต้องการสอบ
  • เลือกสนามสอบ (5 สนาม)
  • ตรวจสอบวันสอบของแต่ละวิชา

3. เลือกประเภทข้อสอบ

  • เลือกสอบแบบกระดาษ หรือ คอมพิวเตอร์

4. สมัครสอบแบบกระดาษ

  • เลือกสนามสอบทั้ง 5 สนาม
  • กรณีค้นหาสนามสอบไม่เจอ ให้ดูรายชื่อสนามสอบทั้งหมด

5. สมัครสอบแบบคอมพิวเตอร์

  • เลือกสนามสอบแบบกระดาษ (สำหรับสำรอง)
  • ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง
  • บันทึกรายการ

6. ยืนยันการสมัคร

  • ตรวจสอบข้อมูลและยอดเงิน
  • ยืนยันการสมัคร
  • เลือกช่องทางรับรหัส OTP
  • กรอกรหัส OTP
  • พิมพ์ใบแจ้งชำระเงิน

7. ชำระเงิน

  • ชำระเงินตามใบแจ้งชำระ
  • เก็บใบเสร็จรับเงิน

ตารางสอบ TGAT TPAT A-Level 2567

วันที่วันสอบ TGAT TPAT A-Level
1 – 20 กันยายน 2567TGAT/TPAT68 
29 ตุลาคม – 5 พฤษจิกายน 2567สมัคร TPAT1 วิชาเฉพาะ กสพท
7 – 9 ธันวาคม 2567สอบ TGAT/TPAT2-5 
14 ธันวาคม 2567สอบ TPAT1 วิชาเฉพาะ กสพท
17 ธันวาคม 2567

ประกาศผลสอบ TGAT/TPAT (สอบด้วยคอมพิวเตอร์)

7 มกราคม 2568ประกาศผลสอบ TGAT/TPAT (สอบด้วยกระดาษ)
5 กุมภาพันธ์ 2568มหาวิทยาลัยกำหนดวันรับสมัครเอง
2 พฤษภาคม 2568ประกาศผลในระบบ mytcas
6-12 พฤษภาคม 2568รับสมัครระบบ Admission
20 พฤษภาคม 2568ประกาศผล Admission ครั้งที่ 1
25 พฤษภาคม 2568ประกาศผล Admission ครั้งที่ 2
27 พฤษภาคม – 14 มิถุนายน 2568ระบบ Direct Admission
6 มิถุนายน 2568ประกาศผล Direct Admission ครั้งที่ 1
17 มิถุนายน 2568ประกาศผล Direct Admission ครั้งที่ 2

 

เทคนิคการเตรียมตัวสอบ TGAT ให้ได้คะแนนสูง ฉบับ Easy to be Expert

สอบ TGAT ใกล้เข้ามาแล้ว! ถ้าอยากพิชิตคะแนนสูงเพื่อยื่นเข้ามหาวิทยาลัยในฝันผ่านระบบ TCAS ไม่ต้องเครียด เพราะเรามีเทคนิคเด็ดๆ ที่จะช่วยให้น้องๆ เตรียมตัวสอบ TGAT ได้อย่างมั่นใจ แถมคะแนนปังแน่นอน! มาดูกันว่า TGAT แต่ละพาร์ทต้องเตรียมยังไงให้เป๊ะ ไปลุยกันเลย!

TGAT 1 : ภาษาอังกฤษ – พิชิต 80+ ไม่ยากอย่างที่คิด

TGAT 1 วัดทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ เน้นใช้จริงในชีวิตประจำวัน มีเวลา 60 นาที 60 ข้อ คะแนนเต็ม 100 ถ้าอยากได้คะแนนสูง ต้องฝึกให้ครบ 2 ทักษะนี้:

เทคนิคเด็ด TGAT 1

  • ฝึกบทสนทนา (Speaking Skill): ลองทำโจทย์จาก TOEIC Part Speaking เพราะ TGAT 1 คล้ายกันมาก! ฝึกวันละ 20 ข้อ โดยเฉพาะการเติมบทสนทนาสั้น-ยาว จับ Pattern คำตอบ เช่น “Thank you” มักตามด้วย “You’re welcome”.
  • อ่านเก่ง (Reading Skill): ฝึก Cloze Test เติมคำในช่องว่าง เน้นคำศัพท์พื้นฐาน เช่น “because”, “however” และฝึกจับใจความจากข้อความสั้นๆ 10-15 บรรทัด
  • เดาข้อสอบฉลาดๆ: ถ้าไม่แน่ใจ ให้เลือกคำตอบที่ยาวและละเอียดที่สุด มักถูกบ่อย!

เคล็ดลับ: จำไวยากรณ์พื้นฐานให้แม่น เช่น Subject-Verb Agreement (He goes / They go) และ Tenses (Present, Past) เพราะ TGAT ออกบ่อยมาก!

TGAT 2 : การคิดอย่างมีเหตุผล – คะแนนพุ่งด้วยตรรกะ

TGAT 2 ทดสอบการวิเคราะห์และตรรกะ 60 ข้อ 60 นาที คะแนนเต็ม 100 ครอบคลุม 4 ทักษะ (ภาษา, ตัวเลข, มิติสัมพันธ์, เหตุผล) มาดูเทคนิคที่ทำให้คะแนนพุ่ง:

เทคนิคเด็ด TGAT 2

  • ภาษา (20 ข้อ): ฝึกอ่านจับใจความจากข้อความสั้นๆ แล้วลองสรุปใน 1 ประโยค เช่น “ข้อความนี้เกี่ยวกับอะไร?”
  • ตัวเลข (20 ข้อ): ฝึกอนุกรม (1, 3, 5 = +2) และโจทย์เปรียบเทียบ (เช่น 5x > 10 ลอง代ค่า x=3) ให้คล่องใน 10 วินาที
  • มิติสัมพันธ์ (20 ข้อ): วาดรูปช่วย! โจทย์พับกระดาษหรือหมุนภาพ อย่าคิดในหัวเด็ดขาด
  • เหตุผล (20 ข้อ): ฝึกตัดตัวเลือกที่ไม่สมเหตุสมผลออก เช่น ถ้าโจทย์ถาม “สรุปอะไรได้” ให้หาคำตอบที่ครอบคลุมที่สุด

เคล็ดลับ: ทำโจทย์เก่า TGAT 2 วันละ 30 ข้อ แล้วจับเวลาจริง ช่วยให้ชินกับความกดดัน!

TGAT 3 : สมรรถนะการทำงาน – คิดวิเคราะห์ให้เป็น

TGAT 3 วัดทักษะการทำงานในอนาคต 40 ข้อ 60 นาที คะแนนเต็ม 100 เป็นข้อสอบเลือกได้หลายคำตอบ เน้นการแก้ปัญหาและทำงานเป็นทีม มาดูวิธีเก็บคะแนน:

เทคนิคเด็ด TGAT 3

  • Design Thinking 5 ขั้นตอน: จำให้เป๊ะ (Empathize → Define → Ideate → Prototype → Test) เช่น โจทย์ “ออกแบบแอปช่วยนักเรียน” ขั้นต่อไปของ Prototype คือ Test!
  • แก้ปัญหา (15 ข้อ): อ่านโจทย์ 2 รอบ หาคีย์เวิร์ด เช่น “ปัญหาคืออะไร” แล้วเลือกคำตอบที่แก้ได้ตรงจุด
  • บริหารอารมณ์ (15 ข้อ): โจทย์มักให้สถานการณ์ (เช่น เพื่อนทะเลาะกัน) เลือกคำตอบที่แสดงการควบคุมอารมณ์และเข้าใจผู้อื่น
  • พลเมือง (15 ข้อ): มองหาคำว่า “ชุมชน+ส่วนร่วม” ในตัวเลือก ถ้าไม่มี ตัดทิ้งเลย!

เคล็ดลับ: ฝึกจำลองสถานการณ์จริง เช่น “โรงเรียนน้ำท่วม จะแก้ยังไง?” แล้วลองตอบเป็นข้อๆ


ตารางฝึกสอบ TGAT 30 วัน คะแนนพุ่งแน่นอน!

เพื่อให้ TGAT ทั้ง 3 ส่วนเข้าถึงคะแนนสูงสุด ลองใช้ตารางนี้:

  • สัปดาห์ 1: TGAT 1 ฝึกภาษาอังกฤษ 60 ข้อ/วัน + ทบทวนคำศัพท์ 50 คำ
  • สัปดาห์ 2: TGAT 2 ทำโจทย์ตรรกะ 30 ข้อ + มิติสัมพันธ์ 20 ข้อ/วัน
  • สัปดาห์ 3: TGAT 3 จำลองสอบเต็ม 40 ข้อ จับเวลา 60 นาที
  • สัปดาห์ 4: ทำข้อสอบเก่า TGAT ทั้ง 3 ส่วน วันละ 1 ชุด (200 ข้อ)

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ TGAT (FAQ TGAT)

TGAT ใช้ยื่นคณะไหนได้บ้าง?

TGAT ใช้ยื่นได้เกือบทุกคณะใน TCAS เช่น วิศวะ (เน้น TGAT 2), แพทย์ (ใช้ TGAT 1+3), บริหาร, นิเทศ (เน้น TGAT 3) ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย

TGAT กับ GAT เดิมต่างกันยังไง?

TGAT เน้นวัดทักษะจริง เช่น ภาษาอังกฤษ การคิดวิเคราะห์ และการทำงานเป็นทีม ขณะที่ GAT เดิมเน้นการเชื่อมโยงและการใช้ภาษาทั่วไป

TGAT คะแนนเต็มเท่าไหร่ และควรได้เท่าไหร่ถึงจะดี?

TGAT คะแนนเต็ม 300 คะแนน (แบ่งเป็น 3 พาร์ต พาร์ตละ 100) หากได้มากกว่า 200 ถือว่าอยู่ในระดับดี พร้อมยื่นคณะยอดนิยมได้

TGAT ต้องสอบทุกพาร์ตไหม?

ไม่จำเป็น! แต่ละคณะจะกำหนดว่าต้องใช้พาร์ตไหน เช่น TGAT 1 อย่างเดียว หรือ TGAT 1 + 2 แล้วแต่เกณฑ์ของมหาวิทยาลัย

TGAT คะแนนเต็มเท่าไหร่ และควรได้เท่าไหร่ถึงจะดี?

TGAT คะแนนเต็ม 300 คะแนน (แบ่งเป็น 3 พาร์ต พาร์ตละ 100) หากได้มากกว่า 200 ถือว่าอยู่ในระดับดี พร้อมยื่นคณะยอดนิยมได้

รายละเอียดเพิ่มเติม
Scroll to Top