IGCSE Math

igcse math

IGCSE Math

IGCSE คืออะไร ?

เป็นการสอบระดับมัธยมศึกษาในหลักสูตรนานาชาติของประเทศอังกฤษ

IGCSE ใครสามารถสอบได้บ้าง

ข้อดีสำหรับการสอบ IGCSE คือการไม่จำกัดอายุของผู้เข้าสอบ เพราะฉะนั้นน้องๆคนไหนพร้อมหรือต้องการที่จะสอบวัดผลระดับมัธยมศึกษาแล้วก็สามารถสอบได้ เมื่อสอบผ่านตามหลักเกณฑ์ที่หลักสูตรกำหนด นั่นหมายความว่าผู้สอบได้จบการศึกษาระดับมัธยมปลายเป็นที่เรียบร้อยสามารถนำวุฒิการศึกษาไปใช้เป็นหลักฐานในการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย

วันนี้เราจะมารู้จัก IGCSE MATH กันค่ะ

เมื่อมีการสอบวัดผลการศึกษา สิ่งหนึ่งที่น้องๆจะเจอ นั่นคือรายวิชาบังคับ หรือพูดง่ายๆคือรายวิชาที่ต้องเรียนนั่นเองค่ะ ไม่สามารถหลีกหนีได้แม้จะไม่ชอบก็ตาม ดังนั้นมาทำความรู้จักและรักวิชา MATH กันเถอะค่ะ MATH เป็นหนึ่งในวิชาบังคับใน IGCSE ดังนั้นเป็นที่ทราบกันแล้วว่า IGCSE ประกอบด้วย 2 ระดับ คือ CORE (เนื้อหาระดับต้น) ผู้สอบจะได้เกรดสูงสุดเกรด C เท่านั้น และ EXTENDED (เนื้อหาระดับสูง) ผู้สอบจะได้เกรดสูงสุดถึง A+ สำหรับรอบสอบมี 2 ช่วง คือ รอบแรก May/Jun และรอบที่สอง Oct/Nov ผู้สอบจะต้องสอบผ่านทั้ง 2 paper โดย core paper ที่ 1 จะใช้เวลาสอบ 1 ชั่วโมง และ paper ที่ 2 ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ส่วน extended paper ที่ 1 ใช้เวลา 1.30 ชั่วโมง และ paper ที่ 2 ใช้เวลา 2.30 ชั่วโมง
เนื้อหาที่มักจะออกในข้อสอบ IGCSE Math ประกอบด้วย พื้นฐาน Algebra, Geometry, Arithmetic, Matrix, Percent, Sequence, Trigonometry, Ratio, Function, Linear equation, Statistics ซึ่งถ้าใน core เนื้อหาเหล่านี้จะเป็นเนื้อหาระดับต้นไม่ยากมากเท่า extended
ความแตกต่างของเนื้อหา core กับ extended
Algebra สำหรับใน core เนื้อหาที่ออกจะเป็นเนื้อหาการบวก ลบ คูณ หาร หรือการจัดรูปอย่างง่ายที่สมการยังไม่ซับซ้อนมาก เลขยกกำลังที่ออกจะเป็นการแก้แค่ 1-2 step ซึ่งส่วนใหญ่จะทำแค่ 1 step ก็จะได้คำตอบแล้วค่ะ แต่ถ้าใน extended การแก้สมการจะทำหลาย step กว่าจะได้คำตอบ และจะมีรายละเอียดเรื่องเครื่องหมายให้น้องๆงงหรือทำพลาดเยอะหน่อยค่ะ
Geometry สำหรับใน core จะเป็นการหาปริมาตรและพื้นที่ของรูปทรงเรขาคณิตที่ไม่ซับซ้อน เช่น รูปสามเหลี่ยม รูปทรงกระบอก ทรงกรวย หรือการหามุมภายในรูปที่ให้มาซึ่งรูปที่ให้มาสามารถใช้กฎเบื้องต้นเช่น มุมภายในรูปสามเหลี่ยมรวมกันได้ 180 องศา หรือมุมภายในรูปสี่เหลี่ยมรวมกันได้ 360 องศา ซึ่งสามารถแก้โจทย์ได้แค่ขั้นตอนเดียวก็จะได้คำตอบ แต่สำหรับใน extended รูปทรงเรขาคณิตจะซับซ้อนมากค่ะ อาจมีวงกลมอยู่ในสี่เหลี่ยม หรือทรงกรวยกับทรงกระบอกอยู่ในรูปเดียวกัน ซึ่งรูปจะยากมากบางครั้งใช้กฎข้อเดียวไม่สามารถแก้ได้ รูปก็สามารถมองได้ยากมาก ต้องใช้ทักษะการทำโจทย์มาระดับหนึ่งค่ะ
อีกเรื่องที่จะเห็นความแตกต่างของข้อสอบทั้งสองคือ sequence ถ้าใน core การหาสมการพื้นฐานของคู่อันดับนั้นจะสามารถหาได้ง่ายกว่า หรือความสัมพันธ์ของตัวเลขชุดที่โจทย์กำหนดจะมองความสัมพันธ์ได้ง่ายกว่า extended ซึ่งโจทย์จะกำหนดชุดตัวเลขที่ความสัมพันธ์หลายขั้นตอน อาจบวกด้วยตัวเลขใดตัวหนึ่ง แล้วต้องหารออกด้วยตัวเลขอีกตัว แล้วมีการคูณหรือยกกำลังเลขใดอีกครั้ง จึงทำให้ผู้สอบใช้เวลามากสำหรับข้อนี้ แต่ใน core ตัวเลขในชุดนั้นอาจเกิดจากการบวกหรือลบ แล้วค่อยคูณหรือหาร เพียงแค่ 2 step ก็สามารถมองความสัมพันธ์ได้ ซึ่งในข้อสอบข้อนี้ถ้าผู้สอบไม่ได้รับการฝึกฝนมาระดับหนึ่งจะทำให้ใช้เวลาในการทำนานมากหรืออาจทำไม่ได้ อาจจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเนื่องจากคะแนนในข้อนี้ค่อนข้างสูงเหมือนกันค่ะ
อีกหัวข้อที่ดูจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับน้องๆบางคนคือพื้นฐานแคลคูลัส ที่จะออกในข้อสอบ สำหรับใน core ข้อสอบจะออกการหาผลลัพธ์ของฟังก์ชันที่ไม่ยาก หรือการหาผลบวก ผลลบ ผลคูณ ผลหาร เวกเตอร์ง่ายๆ แต่ใน extended ออกเนื้อหาไปถึงการดิฟและอินทิเกรตเบื้องต้นเลยค่ะ จากที่กล่าวมาเบื้องต้น เราพบว่าข้อแตกต่างความยากง่ายของข้อสอบ core และ extended จะเห็นชัดมาก สามารถเห็นได้ง่ายจากเวลาที่ใช้ในการทำข้อสอบที่ให้แตกต่างกัน paper ที่ 1 จะง่ายกว่า paper ที่ 2 เสมอค่ะ และเนื้อหาจะเข้มข้นกว่าเสมอ
ข้อสอบ IGCSE Math เป็นข้อสอบที่ผู้สอบจะต้องเติมคำตอบเอง โดยไม่มีตัวเลือกให้เลือกตอบ วัตถุประสงค์ของการสอบต้องการวัดระดับความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ของผู้เข้าสอบว่ามีพื้นฐานและมีความพร้อมเพียงพอตามเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดโดยรวมของ IGCSE จะอิงจากเนื้อหาที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในมหาวิทยาลัย เพื่อให้ผู้เรียนสามารถไปประยุกต์ใช้ได้
Related Posts